ปรัชญากฎหมายไทยยุคธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) กับแนวความคิดพุทธธรรมราชา
เมื่อพิจารณาถึงปรัชญากฎหมายในสมัยพระเจ้าตากสิน ความคติพราหมณ์และพระศาสนามีบทบาทสำคัญในจิตสำนึกของพระเจ้าตากสิน แนวคิดคติธรรมเรื่องพุทธธรรมราชา เพิ่มบทบาทและลดทอนความคิดเทวราชาลงในสมัยอยุธยาลง
เอกสารทางประวัติศาสตร์ ของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสมีบันทึกไว้ว่า พระเจ้าตากสินทรงให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับราษฎรทั่วไป ผิดจากพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ ที่ไม่เสด็จออกให้ราษฎร์ได้เห็นพระองค์หรือไม่ทรงรับสั่งกับราษฎรด้วยเกรงว่าจะทำให้เสียพระราชอำนาจ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับบรรดาข้าราชการบริหาร ก็ยังมีความแนบแน่นแบบพ่อกับลูกดังพระองค์ทรงนิยม ใช้คำว่า “พ่อ” แทนตัวพระองค์และทรงเรียกข้าราชใหญ่น้อยว่า “ลูก”
ข้อสังเกต นิธิ เอียงศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์ในเรื่องของการปกครองในสมัยพระเจ้าตากสิน ใน “ระบบพ่อกับลูก” (จะมีความแตกต่างกับการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยพ่อขุนรามคำแหงยุคสูโขทัย) ว่าสืบเนื่องแต่การพัฒนาการของการก่อตัว อำนาจรัฐใหม่ของพระองค์บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มอำนาจ บ่อย ๆ แบบชุมชนตั้งแต่เริ่มทำการกู้เอกราชของบ้านเมือง ซึ่งตกอยู่ในภาวะจลาจลวุ่นวาย ลักษณะการรวมกลุ่มเป็นชุมนุมเพื่อผนึกกำลังกู้บ้านเมืองทำให้ความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มมีความแนบแน่นใกล้ชิดเสมือนเป็นเครือญาติกัน ราชอาณาจักรของพระเจ้าตากสินจึงดำรงอยู่บนพื้นฐานของภราดรภาพ มิใช่ความสัมพันธ์ทางอำนาจ แบบเทวราชกับสัตว์โลกดังปรากฏในสมัยอยุธยา ลักษณะการเมือง แบบชุมชนยังมีส่วนทำให้เกิดการเน้นความสำคัญของอาณาบารมีส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในเชิงสถาบัน
การสร้างความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูกดังกล่าวดูเหมือนสะท้อนพระสงค์ของพระเจ้าตากสิน ในการมุ่งดำรง “แบบปิตุราชา” ควบคู่กับการ “เป็นพุทธราชา” ผลกระทบที่น่าพิจารณาตามมา คือ ในแง่ของปรัชญากฎหมายคงรวมถึงการถดถอยลงในอิทธิพลของคติเทวราชาในการบัญญัติหรือการบังคับใช้กฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม การเมืองในลักษณะแบบพ่อกับลูกก็สนับสนุนการใช้อำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ในฐานะพ่อ หรือกลับกันก็เรียกร้องการปฏิบัติหน้าที่ด้านการเคารพเชื่อฟังโดยเต็มกำลังของประชาชนผู้อยู่ในสถานะลูกเช่นกัน กฎหมายและความศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดจึงเป็นสิ่งคู่กัน ภายใต้บริบททางการเมืองเช่นนี้ในหลายกรณี การตัดสินความโดยเด็ดขาดพร้อมวิธีการใช้ความรุนแรงจึงเกิดขึ้นและคล้ายเป็นการใช้พระราชอำนาจที่ขัดแย้งกันในตัวเองดังที่พระองค์มีสถานะ (ภาพลักษณ์) ของพุทธ/ธรรมราชาดำรงอยู่พร้อมกัน เมื่อพิจารณาในแง่อีกมุมหนึ่ง กรณีก็เป็นไปได้มากกว่ายิ่งหากพระองค์รู้สึกถึงความเป็นพุทธ/ธรรมราชา มากเพียงใด หรือรู้สึกถึงบารมีทางธรรมส่วนพระองค์เข้มข้นเพียงใด แนวโน้มของการยึดถือเอาตัวพระองค์ว่า “ธรรมะหรือตัวพระองค์” คือ ผู้ผูกขาดการตีความธรรมะก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น การตราพระราชกำหนดกฎหมายต่าง ๆ ก็อาจหย่อนการให้ความสำคัญต่อการอ้างอิงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ หรือโบราณราชานิติประเพณีดังที่เคยยึดถือกันมา เมื่อบวกวิถีแห่งการใช้อำนาจเด็ดขาดแบบปิตุราชา แนวโน้มของปรัชญากฎหมายที่มีลักษณะเผด็จการโดยธรรมภายใต้การตีความธรรมของบุคคลเพียงคนเดียวก็ยิ่งมีสุขยิ่งจนเป็นไปได้ที่ในทางปฏิบัติ ผลลัพธ์อาจ ไม่แตกต่างมากนักกับการใช้อำนาจทางกฎหมายภายใต้ระบบอำนาจนิยมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตามแม้ระบบเผด็จการ (Dictator Ship)โดยธรรมภายใต้อุดมการณ์แบบพุทธราชาจะส่งเสริมการสนับสนุนการใช้อำนาจโดยเด็ดขาดทั้งทางกฎหมายและการเมือง การปฏิบัติของพระองค์ของพระมหากษัตริย์แบบพุทธราชาที่แสดงออกถึงการมุ่งมั่นต่อการบรรลุพระโพธิญาณก็อาจยังความกังขาในความรู้สึก ของบุคคลใกล้ชิด พระราชกรณียกิจในด้านธรรมะของพระองค์ ทั้งในเรื่องการบำเพ็ญทาน รักษาศีลหรือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน การถวายพระราชโอวาทแก่พระสงฆ์หรือการออกพระราชกำหนดว่าด้วยศีลสิกขาบท เป็นอาทิ สิ่งเหล่านี้ล้วนเชิดชูภาพลักษณ์ของพระองค์ในแง่ของการเป็นพุทธราชาที่มิใช่ปถุชนหรือโลกีย์ชนทั่วไป และอยู่ในระดับที่สูงส่งเกินกว่าการเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภาเยี่ยงพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งประเด็นพิพาทเรื่องพระองค์ทรงสำคัญพระองค์ว่าบรรลุโสดาบัน และตามมาด้วยคำถามว่าพระสงฆ์ที่เป็นปถุชนจะไหว้ฆาราวาสที่บรรลุโสดาบันได้หรือไม่ก็กลายเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของการกล่าวหา พระองค์เรื่องทรงเสียพระสติ อันนำไปสู่การรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินในท้ายที่สุด